“ก๊าซเรดอน” สารก่อมะเร็งปอดใกล้ตัว อาจารย์วิศวฯ จุฬาฯ แนะวิธีป้องกัน

“ก๊าซเรดอน” สารก่อมะเร็งปอดใกล้ตัว อาจารย์วิศวฯ จุฬาฯ แนะวิธีป้องกัน

ก๊าซเรดอน กัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีอยู่ในหิน ดิน ทราย น้ำ ที่มนุษย์ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นก๊าซอันตรายที่มีโอกาสส่งผลให้เกิดมะเร็งปอดได้เป็นอันดับสองรองจากการสูบบุหรี่ อาจารย์วิศวฯ จุฬาฯ แนะวิธีป้องกันให้ไกลจากภัยเงียบใกล้ตัว

เรื่องราวของแพทย์ท่านหนึ่งที่ออกมาเผยในโลกโซเซียลว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดทำให้หลายคนรู้สึกตกใจและหวาดวิตก ไม่ใช่เพียงตัวโรคมะเร็งปอด แต่เป็นสาเหตุที่สงสัยว่าก่อโรคมะเร็งปอดให้กับนายแพทย์ผู้นี้

เรารับรู้กันดีว่าสาเหตุอับดับหนึ่งที่ทำให้เกิด “มะเร็งปอด” คือ “การสูบบุรี่” ผู้คนที่ไม่อยากเผชิญกับโรคร้ายนี้มักจะหลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้สูบบุหรี่และไม่เข้าใกล้ควันบุหรี่ และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เหตุของมะเร็งปอดที่เรารู้จักเพิ่มขึ้นก็คือ “ฝุ่นพิษ PM2.5” ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับการวัดคุณภาพอากาศเสมอๆ ก่อนทำกิจกรรมนอกอาคาร และใส่หน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการกันฝุ่น ล่าสุด เราก็ได้รู้จัก “ก๊าซเรดอน” เหตุก่อโรคมะเร็งปอดที่มีมานานแล้วและอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด แต่เพิ่งเข้ามาอยู่ในการรับรู้ของสังคมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง

รองศาสตราจารย์ นเรศร์ จันทน์ขาว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจวัดรังสีในสิ่งแวดล้อม จากภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า “ก๊าซเรดอน” เป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่จัดได้ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงในการทำให้เกิดมะเร็งปอด โดยจัดเป็นสาเหตุอันดับสองรองจากบุหรี่ โดยองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยมะเร็ง (International Agency of Research on Cancer: IARC) แห่งองค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ได้สรุปเป็นเอกฉันท์ว่า เรดอนเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดในมนุษย์ แต่น่าตกใจคือก๊าซเรดอนเป็นก๊าซที่สามารถพบได้ตามอาคารบ้านเรือนทั่วไป!

“ก๊าซเรดอนกับมะเร็งปอด” เป็นเรื่องที่มีผู้ศึกษากันมากว่า 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยก่อนคนอเมริกาจะเลือกซื้อบ้าน หลายคนจะขอดูตัวเลขค่าปริมาณก๊าซเรดอนในพื้นที่บริเวณบ้านที่เขาจะซื้อก่อน”

รศ.นเรศร์ กล่าวเสริมอีกว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency หรือ EPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้ข้อมูลความรู้และจัดทำคู่มือเกี่ยวกับก๊าซเรดอนแก่ประชาชน ได้ออกมาเตือนให้ผู้คนตระหนักและระมัดระวังก๊าซเรดอนเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มเข้าสู่หนาวซึ่งเป็นช่วงที่อากาศปิด

ก๊าซเรดอนมาจากไหน

รศ.นเรศร์ อธิบายว่า เราอาศัยอยู่บนโลกที่มีกัมมันตภาพรังสีในสิ่งแวดล้อมอยู่ทั่วไป โดยมนุษย์จะมีโอกาสได้รับรังสีส่วนใหญ่จากรังสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น จากธาตุกัมมันตรังสีที่มีปะปนอยู่ทั่วไปใน หิน ดิน ทราย หรือแม้แต่ในร่างกายของตัวเราเอง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณรังสีทั้งหมดที่มนุษย์ได้รับ ที่เหลืออีกประมาณ 20% เป็นรังสีที่มนุษย์ผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในงานด้านต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรังสีที่ถูกนำมาใช้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรค เช่น การถ่ายภาพเอกซ์เรย์อวัยวะต่างๆ การฉายแสง กลืนแร่ หรือ ฝังแร่เพื่อรักษามะเร็ง เป็นต้น

ธาตุกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นเองบนพื้นโลกส่วนใหญ่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น ทำให้เกิดการสลายตัวหายไปจนหมดไม่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน แต่มีธาตุกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นเองบางส่วนที่มีค่าครึ่งชีวิตยาวมาก จึงสามารถพบหลงเหลืออยู่และกระจายปะปนอยู่ทั่วไปในหิน ดิน ทราย แร่ และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ที่ได้จากเปลือกโลก ซึ่งรวมไปถึงน้ำในแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน

“ธาตุกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นเองบนพื้นโลกที่ยังสามารถพบได้ในปัจจุบัน ได้แก่ ธาตุกัมมันตรังสีที่อยู่ในอนุกรมยูเรเนียม-238 อนุกรมทอเรียม-232 และโพแทสเซียม-40 ซึ่งก๊าซเรดอนเป็นหนึ่งในบรรดาธาตุกัมมันตรังสีลูกหลานที่เกิดจากการสลายตัวของธาตุยูเรเนียมและทอเรียม และเนื่องจากเรดอนมีสถานะเป็นก๊าซจึงสามารถฟุ้งกระจายปะปนอยู่ในอากาศทั่วไป เมื่อมนุษย์นำทรัพยากรจากเปลือกโลก เช่น หิน ดิน ทราย มาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างอาคารบ้านเรือน วัสดุเหล่านั้นก็จะปล่อยก๊าซเรดอนออกมา หากอาคารมีการระบายอากาศที่ไม่ดีจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสได้รับก๊าซเรดอนปริมาณมากเข้าไปสะสมในร่างกายและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้”

ก๊าซเรดอน อันตรายอย่างไร

อาจารย์ ดร.รวิวรรณ กฤษณานุวัตร์ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายเสริมถึงอันตรายของก๊าซจากยูเรเนียมว่า “ก๊าซเรดอน เป็นก๊าซเฉื่อยที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีก๊าซนี้อยู่รอบๆ ตัวเรา จึงไม่อาจรู้ได้เลยว่ากำลังหายใจเอาก๊าซนี้เข้าไปหรือไม่”

“เมื่อเราหายใจเอาก๊าซเรดอนเข้าไป เรดอนจะเกิดการสลายตัวให้รังสีแอลฟาและเกิดเป็นธาตุกัมมันตรังสีตัวใหม่ขึ้น ซึ่งธาตุกัมมันตรังสีตัวใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีสถานะเป็นของแข็งและสลายตัวให้ธาตุกัมมันตรังสีลูกหลานต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นธาตุตะกั่วซึ่งเป็นธาตุเสถียรและสะสมอยู่ในถุงลมปอดไม่สามารถกำจัดออกจากปอดได้ เป็นผลให้เซลล์ที่ปอดจะได้รับอันตรายจากทั้งรังสีแอลฟาและพิษตะกั่ว ซึ่งจะนำไปสู่การทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้”

ที่อยู่อาศัยของเรามีก๊าซเรดอนมากแค่ไหน

อาจารย์ ดร.รวิวรรณ ได้อธิบายว่า แหล่งกำเนิดของก๊าซเรดอนมาจาก ยูเรเนียมใน ดิน หิน ทราย น้ำบาดาล ก๊าซธรรมชาติ และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งก๊าซเรดอนจะมีปะปนอยู่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของยูเรเนียมและเรเดียม (ธาตุกัมมันตรังสีลูกหลานของยูเนียม) ในดิน

“ดินในแต่ละบริเวณจะมีธาตุยูเรเนียมปะปนอยู่ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ซึ่งดินจากพื้นที่ในกรุงเทพฯ นั้นมีปริมาณของธาตุยูเรเนียมน้อยกว่าดินจากจังหวัดอื่น ดินที่พบว่ามีธาตุยูเรเนียมปะปนอยู่ในปริมาณสูง ส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวอย่างดินจากบริเวณที่มีชั้นหินแข็งเป็นหินแกรนิตหรือมีวัตถุต้นกำเนิดดินที่สลายตัวผุพังมาจากหินแกรนิต นอกจากยังพบอีกว่าตะกอนโคลนจากแหล่งน้ำพุร้อนต่างๆ ก็มีธาตุเรเดียมปะปนอยู่ในปริมาณสูงด้วยเช่นกัน “

หน่วยปฏิบัติการวิจัยการสำรวจและวิเคราะห์รังสีตามธรรมชาติ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ภายใต้การนำทีมของ ศ.ดร.สุพิชชา จันทรโยธา ได้ศึกษาวิจัยและวิเคราะห์หาปริมาณธาตุกัมมันตรังสีในธรรมชาติในตัวอย่างสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดตัวแทนจากทั่วทุกภาคของประเทศไทยเพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานทางรังสีของประเทศ นอกจากนี้ยังนี้มีกรมทรัพยากรธรณีที่เคยจัดทำและเผยแพร่แผนที่ปริมาณยูเรเนียมและทอเรียมของประเทศไทยไว้อีกด้วย

แม้แต่ในพื้นที่เดียวกัน ปริมาณก๊าซเรดอนที่ระดับพื้นดิน ใต้ดิน หรือที่ระดับชั้นต่างกันของอาคารก็มีปริมาณแตกต่างกัน

“ชั้นล่างของบ้าน อย่างชั้นใต้ดินและชั้น 1 มีแนวโน้มจะมีปริมาณก๊าซเรดอนมากที่สุด ดังนั้น หากตามพื้นที่มีรอยแตก รอยต่อระหว่างท่อระบายน้ำ ท่อปะปา หรือพื้นที่ที่เจาะรูไว้ อาจทำให้ก๊าซเรดอนสามารถแพร่แทรกเข้ามาได้”

อาจารย์ ดร.รวิวรรณ กล่าวถึงการทดลองวัดค่าปริมาณก๊าซเรดอนที่ห้องภาควิชาชั้น 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ หลังจากวัดค่าแล้ว ลองเปิดประตูหน้าต่าง และพัดลมดูดอากาศ พบว่าปริมาณก๊าซเรดอนในห้องลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 และเมื่อเปลี่ยนพื้นที่ลงไปวัดค่าก๊าซเรดอนที่ห้องใต้ดิน พบว่า ค่าก๊าซเรดอนสูงขึ้นถึง 3 – 4 เท่า

ค่าปริมาณก๊าซเรดอนที่อยู่ในเกณฑ์อันตรายคือ 148 Bq/m3 ขึ้นไป ซึ่งปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรดอนโดยเฉลี่ยทั่วโลก ภายในอาคารจะอยู่ที่ 40 Bq/m3 ส่วนภายนอกอาคารจะมีค่าก๊าซเรดอนโดยเฉลี่ย 10 Bq/m3 ซึ่งในปัจจุบัน การวัดค่าปริมาณก๊าซเรดอนในที่อยู่อาศัย นิยมทำการวัด 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การวัดด้วยแผ่นฟิล์ม CR39 และ เครื่องวัดปริมาณก๊าซเรดอน RAD7

“การวัดเรดอนด้วยแผ่นฟิล์ม CR39 เป็นการวัดร่องรอยของอนุภาคแอลฟาซึ่งปลดปล่อยออกมาจากก๊าซเรดอนที่วิ่งชนแผ่นฟิล์ม โดยนำแผ่น CR39 ติดไว้ในอุปกรณ์ที่ให้ก๊าซเรดอนสามารถแพร่ผ่านเข้าไปได้ ไปวางไว้บริเวณที่ต้องการตรวจ ทิ้งไว้ประมาณ 1-3 เดือน จากนั้นนำแผ่น CR39 มานับจำนวนร่องรอยอนุภาคแอลฟาที่เกิดขึ้นบนแผ่นฟิล์มและนำไปคำนวณหาปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรดอนต่อไป การตรวจวิเคราะห์โดยการนับรอยบนแผ่น CR39 เป็นการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องใช้ระยะเวลารอผลนาน และต้องวิเคระห์โดยผู้เชี่ยวชาญ แต่มีข้อดีคือค่าใช้จ่ายต่ำ” ซึ่งภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นหน่วยงานแรกในประเทศไทยที่มีระบบสอบเทียบความเข้มข้นกัมมันตภาพของเรดอน และให้บริการตรวจวัดปริมาณเรดอนในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน

“อีกวิธีที่สามารถวัดปริมาณก๊าซเรดอน ณ เวลานั้นได้เลย คือ การตรวจวัดด้วยเครื่อง RAD7 ซึ่งจะต้องทำการดูดอากาศเข้ามาที่ตัวเครื่อง เครื่องจะบอกปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรดอนได้ทันที สำหรับเครื่อง RAD7 นอกจากจะสามารถวัดปริมาณก๊าซเรดอนในอากาศได้แล้ว ยังสามารถวัดปริมาณก๊าซเรดอนในตัวอย่างน้ำได้อีกด้วย น้ำที่พบว่ามีปริมาณก๊าซเรดอนสูงมักจะเป็นน้ำที่มาจากใต้ดิน เช่น น้ำบาดาล และ น้ำพุร้อน”

การป้องกันก๊าซเรดอนเข้าสู่ร่างกาย

ก๊าซเรดอนมีอันตรายมากก็จริง แต่เมื่อเรารู้จักธรรมชาติของก๊าซนี้ ก็พอมีวิธีป้องกันได้ ซึ่ง รศ.นเรศร์ ได้ให้แนวทางไว้ ดังนี้

ถ้าเราอาศัยอยู่ในบริเวณที่ระบบอากาศเปิด ก๊าซเรดอนจะระบายและเจือจางออกไปเอง ผู้ที่ทำงานอยู่ในที่โล่งจึงไม่ต้องกังวล ส่วนผู้ที่ทำงานและอาศัยอยู่ในอาคาร ควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศอยู่เป็นประจำ

สำหรับห้องที่ปิดมิดชิดไว้นาน ก่อนเข้าไปควรเปิดระบบระบายอากาศก่อนและไม่ควรเข้าไปในห้องทันที ในพื้นที่แคบๆ ควรจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี หรือ ควรติดตั้งระบบระบายอาศ ตัวอย่างในประเทศทางยุโรป มีกฎหมายให้ทุกบ้านต้องทำระบบระบายอากาศ โดยเฉพาะห้องใต้ดิน เพราะเป็นห้องที่จะได้รับก๊าซเรดอนจากพื้นดินทุกด้าน ส่วนชั้นที่สูงขึ้นปริมาณก๊าซเรดอนจะต่ำลง

ก๊าซเรดอนสามารถซึมผ่านตามรอยแตกของบ้าน จึงต้องปิดรอยต่อรอยแตกให้มิดชิด พื้น ต้องผนึกหรืออัดให้แน่นแม้จะเป็นคอนกรีต เทคอนกรีตทับรอยร้าว ส่วนผนังของบ้าน โอกาสที่ก๊าซเรดอนจะซึมผ่านเข้ามามีเปอร์เซ็นต์น้อย เพราะมีสีทาบ้านที่ปัจจุบันหลายผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติกันความร้อนและกันน้ำได้ดี

เครื่องฟอกอากาศที่มีถ่านกัมมันต์ (Charcoal) จะช่วยจับไอระเหยและก๊าซเรดอนได้ ถ้าจะเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศจึงควรเลือกแบบที่มีถ่านกัมมันต์และแผ่นกรองชนิดคุณภาพสูง (High Efficiency Particulate Air Filter; HEPA)

รศ.นเรศร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่อยากให้ตื่นกลัวเรื่องก๊าซแรดอนมากเกินไป ก๊าซแรดอนเป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด แต่การเกิดมะเร็งในปอดก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น การได้รับสารเคมีอันตรายชนิดอื่นๆ การสูบบุหรี่ และ ความทนทานหรือการปรับตัวได้ของเซลล์ร่างการของเรา ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีเซลล์มะเร็งแอบแฝงอยู่แล้วขึ้นกับว่าเราดูแลมากน้อยขนาดไหน”

“ถ้าบ้านไหนมีคนเป็นมะเร็งปอด และอยู่ห้องชั้นล่างหรือห้องใต้ดิน อยู่ในที่อับอากาศ อากาศไม่ถ่ายเท และเปิดแอร์ทั้งวัน อาจจะให้หน่วยงานเข้าไปวัดค่าก๊าซเรดอนที่บ้าน โดยภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีเครื่องมือและเทคนิคการวัดปริมาณก๊าซเรดอนแบบครบวงจร พร้อมที่จะเข้าไปช่วยอธิบาย และเข้าไปช่วยวัดหาปริมาณก๊าซเรดอน เพื่อสุขภาพอนามัยของทุกคน”

ติดต่อภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ที่ โทร.0-2218-6781 หรือ Email: [email protected]

ที่มา: ศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ